• Posted by:

    ThaiBMA
  • Posted on:

    Jun. 21, 2018
ระหว่างสลากออมสิน กับตราสารหนี้ออมอย่างไรให้เหมาะกับเรา

ปัจจุบันการฝากเงินในบัญชีเงินฝากให้ผลตอบแทนที่ต่ำมากกลายเป็นช่องทางการออมที่นักลงทุนหลายคนเบือนหน้าหนี เนื่องจากมีทางเลือกในการฝากเงินอีกหลายช่องทางให้เลือก เช่น การฝากเงินในรูปแบบของประกันชีวิต หรือกองทุนรวม เป็นต้น สลากออมสิน ก็เป็นอีกทางเลือกที่นักลงทุนให้ความสนใจ เนื่องจากความเสี่ยงต่ำ ไม่ต้องเสียภาษีดอกเบี้ย รวมถึง “เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น หรือ ได้เสี่ยงโชค” จึงเป็นช่องทางออมเงินที่ดึงดูดใจนักเสี่ยงดวงทุกยุคทุกสมัย

แล้วสลากออมสิน เกี่ยวข้องยังไงกับตราสารหนี้? คำตอบก็คือ ทั้ง 2 อย่างให้ผลตอบแทนคงที่อย่างสม่ำเสมอตามที่ตกลงไว้เหมือนกัน โดยสลากออมสินเป็นรูปแบบการระดมทุนทางอ้อมที่มีมาแต่ดั้งเดิม ซึ่งธนาคารพาณิชย์ทำหน้าที่เป็นตัวกลาง นำเงินทุนจากนักลงทุนไปให้ผู้อื่นกู้ต่ออีกทีแต่ตราสารหนี้เป็นการระดมเงินทุนโดยตรงระหว่างผู้กู้และนักลงทุน ซึ่งนักลงทุนจะมีสิทธิความเป็นเจ้าหนี้ โดยหลักการเมื่อเป็นการกู้ยืมที่ไม่ผ่านตัวกลาง ในแง่ของนักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าฝากธนาคารเพราะไม่ต้องหักค่าดำเนินการให้ตัวกลางนอกจากนี้ นักลงทุนจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นตามแต่เครดิตของผู้ที่มาขอกู้ สลากออมสินเป็นเพียงการฝากเงินที่มีรูปแบบการจ่ายผลตอบแทนที่ผันแปรตามความโชคดีของนักลงทุนแล้วการลงทุนทั้งสองให้ผลตอบแทนมากน้อยแตกต่างกันอย่างไร เรามาลองเปรียบเทียบผลตอบแทนจากเงินลงทุน 500,000 บาท กัน

ช่องทางที่ 1 ซื้อสลากออมสิน 500,000 บาท หน่วยละ 50 บาท จะได้สลากออมสิน 10,000หน่วย เมื่อครบอายุ 3 ปี จะได้รับเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยคืนในราคาหน่วยละ 50.60 บาท คิดเป็นอัตราดอกเบี้ย 0.4%ต่อปีนอกจากนี้ยังมีโอกาสถูกรางวัลขั้นต่ำเลขท้าย 4 ตัว รางวัลละ 150 บาท ที่ประกาศทุกเดือนๆ ละ 2 รางวัลรวม 36 งวดๆละ 300 บาทรวมแล้วจะถูกรางวัลเป็นเงิน 10,800 บาทคิดเป็น0.72%ต่อปีรวมอัตราผลตอบแทนที่จะได้รับจากการลงทุนซื้อสลากออมสิน 1.12% ต่อปีโดยเงินรางวัลและดอกเบี้ยไม่ต้องเสียภาษี

นอกจากนี้ นักลงทุนยังมีสิทธิลุ้นผลตอบแทนเพิ่มเติมจากการถูกรางวัลพิเศษอื่นๆ สูงสุดถึง 10 ล้านบาททีเดียว ซึ่งก็แล้วแต่โชคของแต่ละคน ใครรู้ตัวว่าสายแข็งดวงดี ซื้อสลากออมสินก็อาจมีเฮ

ช่องทางที่ 2ลงทุนในหุ้นกู้บริษัท ก.อายุ 3 ปี Credit rating A จำนวน 500,000 บาท หน่วยละ 1,000 บาท จะได้ 500 หน่วย อัตราดอกเบี้ย 2.73%ต่อปีโดยดอกเบี้ยจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 15%คิดเป็นอัตราผลตอบแทนสุทธิที่จะได้รับ 2.32% ต่อปี

ช่องทางที่ 3ลงทุนในพันธบัตรออมทรัพย์กระทรวงการคลังอายุ 3 ปี หน่วยละ 1,000 บาท จะได้ 500 หน่วยอัตราดอกเบี้ย 1.85% ต่อปีเสียภาษีดอกเบี้ย ณ ที่จ่าย15%เมื่อหักภาษีแล้วจะได้รับผลตอบแทนสุทธิ 1.57 ต่อปี

เมื่อเปรียบเทียบดอกเบี้ยของแต่ละช่องทาง จะเห็นได้ว่า การลงทุนในหุ้นกู้บริษัท ก.จะได้รับผลตอบแทนสูงที่สุด รองลงมาคือพันธบัตรออมทรัพย์ และสลากออมสิน ตามลำดับ โดยหุ้นกู้จะมีความเสี่ยงสูงสุด รองลงมาคือสลากออมสิน และ พันธบัตรออมทรัพย์ อย่างไรก็ตาม ผลตอบแทนของการลงทุนในสลากออมสินขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่สำคัญ 2 ข้อ คือผู้ถือสลากต้องถือครบกำหนดอายุ หากผู้ถือสลากไถ่ถอนภายใน 3 เดือนหลังซื้อสลาก จะเสียค่าปรับหน่วยละ 1 บาท หากไถ่ถอนก่อนครบ 3 ปี จะไม่ได้รับดอกเบี้ย และหากลงทุนต่ำกว่า 500,000 บาท โอกาสถูกรางวัลจะน้อยลง ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ได้รับจะต่ำกว่าที่กล่าวไว้

จากตัวอย่างข้างต้น นักลงทุนคงพอเห็นข้อแตกต่างระหว่างสลากออมสิน และตราสารหนี้กันบ้างแล้ว การเลือกลงทุนในช่องทางไหน ก็ขึ้นอยู่กับสไตล์การลงทุน และ เป้าหมายการลงทุนของแต่ละคนแต่อย่าลืมเปรียบเทียบผลตอบแทนให้คุ้มค่าความเสี่ยงกันนะค่ะ

All Blogs