ไม่รู้ว่าจะแค่ “weak positive” หรือต้องแอดมิด

นับตั้งแต่ช่วงต้นไตรมาส 4 ปี 2018 บอนด์ยิลด์ของทั้งไทยและสหรัฐฯ ค่อยๆ ลดระดับลงมาเรื่อยๆ จากปัญหาเศรษฐกิจรอบด้าน โดยรุ่นอายุ 10 ปี จาก 2.88% ของไทย และ 3.20% ของสหรัฐฯ ลดลงมาอยู่ที่ 0.97% และ 0.74% ตามลำดับเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ใช้เวลาเพียง 1 ปีครึ่งในการลดระดับลงมาเกือบ 2% สำหรับบอนด์ยิลด์ไทย และ 2.46 % ของสหรัฐฯ โดยมีเชื้อไวรัสโควิดเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้บอนด์ยิลด์ดิ่งลงแรงในช่วงเกือบ 2 เดือนที่ผ่านมา

โดยบอนด์ยิลด์ไทยช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ได้ปรับตัวลงทำสถิติต่ำสุดใหม่ไม่เว้นแต่ละวัน จนล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (6 มี.ค.) บอนด์ยิลด์ไทยทำสถิติต่ำสุดตั้งแต่รุ่นอายุ 1 ปีเป็นต้นไปจนตลอดทั้งเส้น โดยรุ่น 1 ปีอยู่ที่ 0.81% รุ่นอายุ 2 ปีที่ 0.70% และรุ่น 10 ปีที่ 0.97% ล้วนแล้วแต่ต่ำกว่าดอกเบี้ยนโยบาย

บอนด์ยิลด์สหรัฐฯ ก็เช่นกัน ดิ่งลงมาอยู่ในระดับที่ต่ำมาก โดยรุ่นอายุตั้งแต่ 7-30 ปีทำสถิติต่ำสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ที่ 0.69% ในรุ่นอายุ 7 ปี และ 1.25% ในรุ่นอายุ 30 ปี

ในเรื่องของ Inverted yield curve โดยเฉพาะส่วนต่างระหว่างบอนด์ยิลด์อายุ 10 ปี และ 2 ปี ที่เรียกว่า 2-10 spread ที่ตลาดมักให้ความสนใจ โดยใช้แสดงถึงโอกาสที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในอีกไม่เกิน 2 ปีหากส่วนต่างระหว่างบอนด์ยิลด์อายุสั้นและยาวมีค่าติดลบ ซึ่ง 2-10 spread ทั้งของไทยและสหรัฐฯ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ยังไม่มีค่าติดลบ โดยของไทยอยู่ในระดับที่ต่ำมากที่ 27 bps. ปรับตัวสูงขึ้นมาจากเมื่อช่วงไตรมาส 3 ปีที่แล้วที่มีค่าเพียง 6 bps. เท่านั้น ส่วนของสหรัฐฯ ทรงตัวที่ 25 bps. โดยปรับสูงขึ้นเช่นกันจากช่วงไตรมาส 3 ปีที่แล้วที่ -4 bps.

ทั้งนี้ แม้ 2-10 spread จะยังไม่ติดลบ แต่การที่บอนด์ยิลด์ดิ่งลงสู่ระดับต่ำเป็นประวัติการณ์นี้ ก็เสมือนเป็นผลตรวจ weak positive ให้นักลงทุนได้กังวลซึ่งเห็นได้จากการปรับตัวลงของดัชนีตลาดหุ้นต่างๆ ทั่วโลก ก็หวังว่าจะมีการค้นพบวัคซีนเพื่อฉีดให้กับนักลงทุนได้ทันก่อนที่จะต้องแอดมิดกัน ส่วนการที่บอนด์ยิลด์ต่ำกว่าดอกเบี้ยนโยบายจนถึงรุ่นอายุ 10 ปี น่าจะเป็นการสะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและเป็นสัญญาณของตลาดที่บอกถึงการคาดการณ์การลดดอกเบี้ย

ส่วนความกังวลที่ว่าเกิดฟองสบู่ในตลาดพันธบัตรหรือไม่จากการที่บอนด์ยิลด์ลดลงทำให้ราคาพันธบัตรสูงมาก ก็อยากให้ย้อนดูที่ราคาหุ้น ค่า PE และดัชนีตลาดหุ้น ต่างอยู่ในระดับที่สูงทั้งนั้นตั้งแต่ที่เริ่มมีนวัตกรรมการทำ QE ตราบใดที่ยังมีการทำ QE และหลายประเทศเริ่มหันมาทำ QE กันมากขึ้น ราคาสินทรัพย์ต่างๆ ก็ไม่รู้จะต่ำลงแค่ไหนเพราะสภาพคล่องต้องมีที่ไป ความผันผวนต่างหากที่มากขึ้น...สูงขึ้น คงอยู่ และต่ำลง ให้เห็นเร็วขึ้น