Individual Investors

  • Posted by:

    ThaiBMA
  • Posted on:

    Nov. 26, 2019
ผลกระทบตลาดตราสารหนี้หลังการเก็บภาษีกองทุน

การจัดเก็บภาษีกองทุนรวมที่ลงทุนในตราสารหนี้เริ่มบังคับใช้ไปตั้งแต่วันที่ 20 ส.ค. 2562 โดยกองทุนรวมที่ลงทุนในตราสารหนี้จะถูกเก็บภาษีหัก ณ ที่จ่าย 15% จากดอกเบี้ยตราสารหนี้ การเก็บภาษีดังกล่าว มีผลกระทบอย่างไรบ้างต่อตลาด

1.ตลาดแรก

ยอดการออกหุ้นกู้เอกชนทั้งระยะสั้น-ยาวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะยอดการออกเฉลี่ยต่อวันของหุ้นกู้เอกชนระยะสั้นในช่วงหลังเก็บภาษี 20 ส.ค. – 15 พ.ย. อยู่ที่ประมาณ 2,000 ล้านบาท ลดลง 33% จากเฉลี่ยวันละประมาณ 3,000 ล้านบาทในช่วงก่อนที่จะมีการเก็บภาษีกองทุน ในส่วนของยอดการออกหุ้นกู้เอกชนระยะยาวมีแนวโน้มลดลงในช่วง 2 เดือนแรกราว 50% อย่างไรก็ตามกลับมาเพิ่มสูงขึ้นในช่วงเดือน พ.ย. นี้เนื่องจากมียอดการออกหุ้นกู้ขนาดใหญ่หลายรุ่น

2.ตลาดรอง

ยอดการซื้อขายตราสารหนี้ของกองทุนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของกองทุนลดลงถึง 44% จากวันละประมาณ 1,800 ล้านบาท เหลือเพียงวันละ 1,000 ล้านบาทต่อวันเท่านั้น ในส่วนของยอดการซื้อขายหุ้นกู้เอกชนระยะยาวก็ลดลงไปในทางเดียวกันคือจากยอดซื้อขายเฉลี่ยวันละ 2,300 ล้านบาทลดลงเหลือ 1,400 ล้านบาทต่อวัน ลดลงราว 40%

การลดลงของยอดการซื้อขายหุ้นกู้เอกชนของกลุ่มกองทุนอาจจะส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องในตลาดรองของหุ้นกู้ เนื่องจากกองทุนเป็นนักลงทุนที่มี Market Share ในการซื้อขายหุ้นกู้เอกชนทั้งระยะสั้น และระยะยาวค่อนข้างสูง โดยคิดเป็น 93% และ 64% ของยอดการซื้อขายทั้งหมดตามลำดับ

3.Credit Spread

ส่วนต่างผลตอบแทนระหว่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลกับหุ้นกู้เอกชนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหลังเริ่มเก็บภาษีกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ ซึ่งอาจเกิดจากการที่นักลงทุนกลุ่มกองทุนมีความต้องการผลตอบแทนจากการลงทุนหุ้นกู้เอกชนที่มากขึ้นเพื่อชดเชยภาษีที่ต้องจ่าย โดยพบว่า Credit Spread ของหุ้นกู้เอกชนปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณ 15 bps.

ทางฝั่งผู้ออกตราสารหนี้เองก็เริ่มมีการปรับตัวเช่นกัน โดยเริ่มมีการออกหุ้นกู้ระยะยาวแบบไม่มีการจ่ายดอกเบี้ย (Zero Coupon Bond) ซึ่งจะทำให้นักลงทุนกลุ่มกองทุนไม่ต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่ายจากดอกเบี้ย 15% ในแต่ละงวด ในขณะเดียวกันทางด้านกองทุนรวมเองมีแนวโน้มว่าจะเห็นการออกกองทุนลักษณะ Feeder Fund ที่ไปลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ไม่เข้าเกณฑ์ต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย

อย่างไรก็ตาม มาตรการภาษีดังกล่าวยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น คงต้องติดตามต่อไปว่าตลาดจะมีการปรับตัวรับมือผลกระทบดังกล่าวไปในทิศทางใดต่อไป

All Blogs