Bond Blogs Posted by:ThaiBMA Posted on: Aug 04 2016 Share this post with ทำความรู้จักกับหลักเกณฑ์ Basel III และผลกระทบต่อตลาดตราสารหนี้ ที่มาของหลักเกณฑ์ Basel การเกิดวิกฤตการเงินโลกที่ผ่านมาโดยเฉพาะ Hamburger crisis หรือ Subprime crisis ราวปี 2008 ที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาและมีผลกระทบเป็นวงกว้างไปยังภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลก ทำให้หน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินเพิ่มความเข้มงวดในการกำกับดูแลสถาบันการเงินมากขึ้น ซึ่งเป็นที่มาของการพัฒนาหลักเกณฑ์สากลในการกำกับดูแลระบบการเงิน เพื่อสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงในระบบการเงินและสถาบันการเงิน ป้องกันมิให้เกิดวิกฤตการเงินซ้ำรอยขึ้นอีก หลักเกณฑ์สากลซึ่งเป็นที่ยอมรับในการกำกับดูแลสถาบันการเงิน เรียกว่า หลักเกณฑ์ Basel ซึ่งธนาคารกลางของแต่ละประเทศจะทยอยนำหลักเกณฑ์นี้มาบังคับใช้ในประเทศของตน เพื่อสร้างเสริมความมั่นคงของระบบการเงิน ทำให้สถาบันการเงินมีระบบการบริหารความเสี่ยงที่มีมาตรฐาน และเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้สถาบันการเงินสามารถรองรับความผันผวนในยามเกิดวิกฤติได้ จาก Basel I สู่ Basel II ในช่วงแรกของการพัฒนา เริ่มจากหลักเกณฑ์ Basel I ที่เน้นไปที่การดำรงเงินกองทุนของธนาคาร เพื่อให้ธนาคารสามารถรองรับการขาดทุนจากการปล่อยสินเชื่อ และความผันผวนจากการลงทุนของธนาคารได้ โดยกำหนดให้ธนาคารดำรงเงินกองทุนเป็นสัดส่วนต่อสินทรัพย์เสี่ยง ยิ่งธนาคารมีสินทรัพย์เสี่ยงมากก็ต้องดำรงเงินกองทุนมากขึ้นตามทั้งนี้ การคำนวณสินทรัพย์เสี่ยงจะประเมินความเสี่ยงทั้ง “ด้านเครดิต” ที่เป็นความเสี่ยงจากการไม่ได้รับเงินคืนจากการปล่อยสินเชื่อ อันเป็นความเสี่ยงหลักในการปล่อยสินเชื่อ และความเสี่ยง “ด้านตลาด” ซึ่งเกิดจากความผันผวนของราคาสินทรัพย์ อันเป็นความเสี่ยงหลักของการลงทุน หลักเกณฑ์ Basel I กำหนดให้ธนาคารต้องดำรงเงินกองทุนให้เพียงพอต่อการรองรับความเสี่ยงดังกล่าว ต่อมา คณะกรรมการ Basel เห็นว่ายังมีความเสี่ยงด้านอื่นๆ ที่สำคัญที่มีผลกระทบต่อธุรกิจของสถาบันการเงิน เช่น ความเสี่ยงในการทุจริต การโกง การเกิดเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งสามารถสร้างความเสียหายที่รุนแรงต่อธุรกิจของธนาคาร ความเสี่ยงกลุ่มนี้จัดเป็นความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ ดังนั้น จึงกำหนดหลักเกณฑ์เพิ่มเติมให้สถาบันการเงินต้องคำนวณสินทรัพย์เสี่ยงด้านปฏิบัติการด้วย ทำให้มีการปรับปรุงหลักเกณฑ์จาก Basel I เป็น Basel II โดยกำหนดให้สถาบันการเงินต้องดำรงเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงทั้งด้านเครดิต ด้านตลาด และ ด้านปฏิบัติการ นอกจากนี้ Basel II ยังกำหนดให้ธนาคารต้องมีความโปร่งใส โดยให้มีการเปิดเผยข้อมูลการบริหารความเสี่ยงและเงินกองทุนแก่สาธารณชนนอกเหนือจากการรายงานความเสี่ยงและการดำรงเงินกองทุนแก่หน่วยงานกำกับดูแล วิกฤต Subprime นำไปสู่การพัฒนา Basel III แม้ว่าธนาคารต่างๆ จะสามารถปฏิบัติตามแนวทางที่กำหนดภายใต้หลักเกณฑ์ Basel I และ Basel II ได้เป็นอย่างดี แต่การเกิดวิกฤติ Subprime ในช่วงปี 2008 ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาคการเงินทั่วโลก ทำให้หน่วยงานกำกับดูแลตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงแนวทางกำกับดูแลสถาบันการเงินเพิ่มเติม อันเป็นที่มาของการพัฒนา Basel III สืบเนื่องจากวิกฤต Subprime ในอเมริกามีสาเหตุสำคัญจากปัญหาการขาดสภาพคล่องของสถาบันการเงิน หลักเกณฑ์ Basel III จึงเพิ่มข้อกำหนดเรื่องการบริหารความเสี่ยงด้านสภาพคล่องของสถาบันการเงิน รวมถึง ปรับปรุงเงื่อนไขการดำรงเงินกองทุนให้สูงขึ้น เพื่อให้สามารถรองรับการขาดทุนได้เพิ่มขึ้น ประเด็นหลักที่มีการปรับปรุงใน Basel III 1. การปรับปรุงการดำรงเงินกองทุนทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ การที่ธนาคารมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงมากย่อมแสดงถึงความมั่นคงมาก หลักเกณฑ์ Basel III แบ่งเงินกองทุนเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1) เงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของ ที่สามารถรับการขาดทุนได้ เช่น ทุนชำระแล้ว และกำไรสะสม เป็นต้น 2) เงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นตราสารทางการเงิน คือเงินที่ได้จากตราสารทางการเงินที่มีลักษณะคล้ายทุน เช่น ตราสารหนี้ที่ไม่มีระยะเวลากำหนดคืนเงินต้น ไม่สะสมเงินปันผล และ สามารถรองรับผลขาดทุนได้ และ 3) เงินกองทุนชั้นที่ 2 คือเงินจากการออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่สามารถแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญหรือตัดเป็นหนี้สูญได้หากธนาคารอยู่ในสถานะที่ต้องได้รับการช่วยเหลือทางการเงินจากธนาคารแห่งประเทศไทย (รับการขาดทุนก่อนผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้อื่นๆ แต่หลังจากเงินกองทุนชั้นที่ 1) จากที่กล่าวมานี้ จะเห็นว่าเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของ จะเป็นส่วนที่รับการขาดทุนเป็นส่วนแรก หลักเกณฑ์ Basel III เรื่องเงินกองทุนขั้นต่ำ จึงกำหนดให้เพิ่มอัตราส่วนขั้นต่ำของเงินกองทุนส่วนนี้ต่อสินทรัพย์เสี่ยง ซึ่งเป็นการเพิ่มทั้งปริมาณและคุณภาพของเงินกองทุนขั้นต่ำ ทำให้ธนาคารมีความมั่นคงสูงขึ้น นอกจากนี้ Basel III เรื่องหลักเกณฑ์การดำรงเงินกองทุนส่วนเพิ่ม เป็นหลักเกณฑ์ที่เพิ่มขึ้นใหม่ใน Basel III กำหนดให้มีส่วนของ “Buffer” ขึ้น นั่นคือ ให้สถาบันการเงินดำรงเงินกองทุนเพิ่มเติมในยามฉุกเฉินหรือในยามที่เศรษฐกิจไม่ดี ซึ่งความแตกต่างของ Buffer กับเงินกองทุนขั้นต่ำคือ หากธนาคารมีเงินกองทุนต่ำกว่าเงินกองทุนขั้นต่ำ ธปท. มีอำนาจในการดำเนินการตามสมควรได้โดยตรง ในขณะที่หากธนาคารดำรง Buffer ไม่พอ ธนาคารจะถูกบังคับให้จัดสรรกำไรเพื่อมาถือเป็นเงินกองทุนเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนที่กำหนด ซึ่งจะส่งผลต่อเงินปันผล และโบนัสของพนักงาน แต่ไม่มีผลต่อการบริหารหรือการดำเนินธุรกิจของธนาคาร โดย Basel III ได้กำหนด Buffer ไว้ 2 ประเภท คือ ส่วนที่ต้องดำรงไว้เสมอ (Capital conservation buffer) และส่วนที่เปลี่ยนแปลงได้ขึ้นกับสภาวะเศรษฐกิจ (Countercyclical buffer) ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนด 2. การเพิ่มเกณฑ์ Leverage ratio เกณฑ์นี้กำหนดให้ อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ต่อ สินทรัพย์และรายการนอกงบดุลทั้งสิ้นอย่างน้อยร้อยละ 3 (จะเริ่มกำหนดใช้ปี 2562) ซึ่งเป็นการจำกัดปริมาณธุรกรรมของธนาคาร ทั้งการลงทุน การปล่อยสินเชื่อ การรับประกัน รวมถึงการเปิดวงเงิน และการทำธุรกรรมอนุพันธ์ ทำให้ธนาคารต้องคำนึงถึงรายได้ต่อปริมาณธุรกรรมที่มีอยู่ โดยอัตราส่วนนี้ไม่ได้คำนึงถึงระดับความเสี่ยงของธุรกรรม (Non-risked based) ดังนั้นแม้จะเป็นธุรกรรมที่มีความเสี่ยงต่ำ ธนาคารก็สามารถทำได้ในปริมาณที่จำกัด (ที่ร้อยละ 3) แต่หากมีความเสี่ยงสูง ธนาคารก็จะถูกจำกัดโดยอัตราส่วนเงินกองทุน ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว 3. การเพิ่มเกณฑ์การบริหารความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง Basel III เพิ่มความสำคัญของการบริหารความเสี่ยงด้านสภาพคล่องของสถาบันการเงิน เนื่องจากตระหนักว่าธนาคารที่แม้จะมีเงินกองทุนอยู่ในระดับสูง ก็อาจประสบภาวะวิกฤติหรือล้มละลายได้หากขาดสภาพคล่อง ความเสี่ยงด้านสภาพคล่องตามหลักเกณฑ์ Basel III จะมองใน 2 มุม มุมแรกคือ ในกรณีเกิดวิกฤตหรือความผันผวนระยะสั้นและเกิดการถอนเงินมากผิดปกติ ในกรณีนี้ธนาคารจะต้องมีสินทรัพย์สภาพคล่อง (เงินสดหรือ สินทรัพย์ที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้อย่างรวดเร็ว) เพียงพอที่จะดำเนินงานได้ 30 วันในภาวะดังกล่าว ซึ่งเป็นเกณฑ์ Basel III เรื่อง Liquidity Coverage Ratio (LCR) โดยธปท. กำหนดให้ธนาคารเริ่มที่ 60% ในปี 2559 และทยอยเพิ่มขึ้นปีละ 10% จนครบ 100% ในปี 2563 และมุมที่สอง คือ มองในด้านความสอดคล้องกันระหว่างแหล่งที่มาของเงินทุนกับลักษณะความต้องการใช้เงินของธนาคาร เพื่อลดปัญหาสภาพคล่องจากการระดมเงินทุนระยะสั้นและนำไปใช้ปล่อยกู้ระยะยาว ซึ่งเป็นเกณฑ์ Basel III เรื่อง Net Stable Funding Ratio (NSFR) ทั้งนี้ธปท. คาดว่าจะกำหนดใช้ปี 2562 ผลกระทบจากการปรับปรุงเกณฑ์ Basel III ผลต่อธนาคาร การทำให้ธนาคารมีความมั่นคงมากขึ้น ก็ต้องแลกมาด้วยต้นทุนที่สูงขึ้น หลักเกณฑ์ Basel III เรื่องเงินกองทุนขั้นต่ำ ที่กำหนดให้ธนาคารต้องดำรงเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงสูงขึ้น และ เกณฑ์ Basel III เรื่องการดำรงเงินกองทุนส่วนเพิ่ม ที่กำหนดให้ธนาคารต้องเพิ่มส่วนของ Buffer ขึ้นมา ส่งผลให้ธนาคารต้องดำรงเงินกองทุนสูงขึ้น ต้นทุนทางการเงินของธนาคารย่อมสูงขึ้นเช่นกัน และถ้าหากธนาคารมีการปล่อยสินเชื่อที่มีความเสี่ยงสูง ธนาคารก็ต้องยิ่งเพิ่มเงินกองทุนสูงมากยิ่งขึ้น หลักเกณฑ์ Basel III เรื่อง Leverage ratio ที่กำหนดอัตราส่วนระหว่างเงินกองทุนชั้นที่ 1 ต่อสินทรัพย์และรายการนอกงบดุลไว้ที่อย่างน้อย 3% มีผลในการจำกัดปริมาณธุรกรรมของธนาคารในการนำเงินฝากมาทำให้เกิดดอกออกผล นั่นคือธนาคารถูกจำกัดความสามารถในการหารายได้จากเงินฝาก เกณฑ์ Basel III เรื่อง Liquidity Coverage Ratio (LCR) ที่กำหนดให้ธนาคารต้องดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องให้เพียงพอที่จะดำเนินงานได้ 30 วัน สินทรัพย์สภาพคล่องที่เข้าเกณฑ์ Basel III คือเงินสดและตราสารหนี้ แต่เนื่องจากการถือเงินสดจะไม่มีผลตอบแทน ดังนั้นธนาคารน่าจะหันมาถือพันธบัตรภาครัฐมากขึ้น สำหรับเกณฑ์ Basel III เรื่อง Net Stable Funding Ratio (NSFR) ที่กำหนดให้ธนาคารต้องบริหารแหล่งที่มาของเงินทุนและความต้องการใช้เงินให้มีช่วงระยะเวลาที่สอดคล้องกัน ซึ่งธนาคารจะนำเงินที่ระดมมาได้ส่วนใหญ่ไปลงทุนหรือปล่อยสินเชื่อในระยะยาว ดังนั้นจากเกณฑ์ข้อนี้ ธนาคารจึงมีแนวโน้มที่จะต้องการเงินฝากระยะยาว (มากกว่า 1 ปี) มากขึ้น ความต้องการระดมเงินในระยะสั้น เช่น เงินฝากออมทรัพย์ จะน้อยลง ส่วนต่างดอกเบี้ยเงินฝากประจำระยะยาวกับดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์จึงคาดว่าจะสูงขึ้น จากหลักเกณฑ์ Basel III ที่กล่าวมานี้ ผลกระทบที่จะเกิดต่อธนาคาร สรุปได้คือ 1. ธนาคารจะมีต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น 2. ธนาคารมีแรงจูงใจลดลงในการปล่อยสินเชื่อที่มีความเสี่ยงสูง หรือก็ต้องเพิ่มดอกเบี้ยเงินกู้ให้สูงขึ้นเพื่อชดเชยกับการที่ธนาคารต้องดำรงเงินกองทุนเพิ่มขึ้น 3. ธนาคารมีแรงจูงใจลดลงในการรับเงินฝาก โดยเฉพาะเงินฝากระยะสั้น เช่น เงินฝากออมทรัพย์ 4. ธนาคารมีแนวโน้มที่จะถือตราสารหนี้ภาครัฐ (ที่ให้ผลตอบแทน และมีสภาพคล่องสูง) มากขึ้น ในขณะที่แรงจูงใจในการลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนต่ำลง โดยเฉพาะที่มีอันดับเครดิตต่ำ 5. ธนาคารมีแนวโน้มที่จะลดอัตราการจ่ายเงินปันผลเพื่อรักษาระดับเงินกองทุนให้อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด 6. ธนาคารมีแนวโน้มที่จะหารายได้จากการให้บริการอื่นๆ ที่มิได้สืบเนื่องจากเงินฝาก เช่น รายได้ค่าบริการ ค่านายหน้า ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่ธนาคารไม่ต้องดำรงเงินกองทุนเพื่อรองรับความเสี่ยงเป็นเวลานานเหมือนการให้สินเชื่อ 7. ธนาคารมีแนวโน้มที่จะเพิ่มทุนหรือออกตราสารทางการเงินที่สามารถนับเป็นเงินกองทุนขั้นที่ 1 หรือขั้นที่ 2 เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม สำหรับธนาคารในประเทศไทย ส่วนใหญ่มีระดับเงินกองทุนค่อนข้างสูงอยู่แล้ว จึงอาจยังไม่มีความจำเป็นในระยะเวลาอันใกล้นี้ ผลต่อลูกค้าธนาคาร 1. ลูกค้าธนาคารที่เป็นผู้ฝากเงิน ดอกเบี้ยเงินฝากจะไม่อยู่ในระดับที่สูงเหมือนเดิมในสถานการณ์ทางเศรษฐกิจคล้ายๆ กัน โดยเฉพาะดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ เนื่องจากธนาคารมีต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น นอกจากนี้ธนาคารถูกจำกัดปริมาณธุรกรรมในการหารายได้จากเงินฝาก และต้องบริหารแหล่งเงินทุนให้มีช่วงเวลาที่เหมาะสมกับแหล่งการลงทุนของธนาคารที่ส่วนใหญ่มักเป็นระยะยาว (มากกว่า 1 ปี) 2. ลูกค้าธนาคารที่เป็นภาคธุรกิจ จะได้รับอนุมัติสินเชื่อยากขึ้น และด้วยต้นทุนหรือดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูงขึ้นโดยเฉพาะบริษัทที่อันดับเครดิตไม่สูงนักหรือไม่มี Rating เช่น SMEs หรือ Startup ต่างๆ และหากภาวะเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไปในทางลบ ธนาคารก็จะมีแนวโน้มที่จะดึงสินเชื่อกลับจากกลุ่มธุรกิจเหล่านี้ก่อนเพื่อลดภาระการดำรงเงินกองทุน ผลต่อตลาดตราสารหนี้ 1. การที่ธนาคารเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ ภาคธุรกิจจึงมีแนวโน้มที่จะหันมาระดมทุนโดยการออกตราสารหนี้มากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นทางเลือกในการระดมทุนที่มีโอกาสได้ต้นทุนต่ำกว่าสินเชื่อธนาคาร 2. อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่มีแนวโน้มลดลงจะทำให้ผู้ฝากเงินหันมาลงทุนในตราสารหนี้มากขึ้น เพื่อแสวงหาผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากธนาคาร 3. ธนาคารจะมีความต้องการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีคุณภาพมากขึ้น โดยเฉพาะตราสารหนี้ภาครัฐที่มีความมั่นคงและมีสภาพคล่อง ที่สามารถแปลงสภาพเป็นเงินสดได้ทันที 4. การออกตราสารทางการเงินในรูปของ Basel III Bond หรือ CoCo Bond จากธนาคารน่าจะเพิ่มมากขึ้น เพราะสามารถใช้นับเป็นเงินกองทุนขั้นที่ 1 หรือขั้นที่ 2 ของธนาคารได้ ทั้งนี้ตราสารดังกล่าวจะมีเงื่อนไขที่สำคัญคือ ผู้ออกตราสารสามารถแปลงสภาพตราสารหนี้ประเภทนี้เป็นตราสารทุนได้หากผู้ออกมีผลการดำเนินงานที่ไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ หรือผู้ออกตราสารสามารถตัดเป็นหนี้สูญ (ทั้งจำนวนหรือบางส่วน) เมื่อทางการตัดสินใจเข้าช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ออกตราสาร กล่าวโดยสรุป การนำหลักเกณฑ์ Basel III มาบังคับใช้มีจุดประสงค์เพื่อให้ระบบการเงินของประเทศมีความแข็งแกร่งและมั่นคงมากขึ้น เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันการเกิดวิกฤตการเงินในภาคการเงินซ้ำอีก อย่างไรก็ตาม การเพิ่มความเข้มงวดในการกำกับดูแลภาคการเงินก็มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจึงจำเป็นที่แต่ละฝ่ายต้องศึกษาทำความเข้าใจ เพราะการสร้างความแข็งแกร่งต่อระบบการเงิน จะทำให้เกิดความเชื่อมั่นของนักลงทุนและเกิดผลดีต่อเศรษฐกิจในระยะยาวของประเทศ All Blogs 2024 ตราสารหนี้เพื่อการอนุรักษ์เสือโคร่ง (Tiger ecosystem bond) 30 ปี ThaiBMA เส้นทางการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ไทย CAT Bond ตราสารหนี้ภัยพิบัติ แนวโน้มหุ้นกู้ครบกำหนดอายุ Highlight ตลาดตราสารหนี้ไทยปี 2023 2023 สาระสำคัญจากงานสัมมนา “Enable ESG Bond Issuance: Global Dynamic & Thailand Framework Development” การถือครองตราสารหนี้ไทยของนักลงทุนต่างชาติ Facts: หุ้นกู้ครบกำหนดในปีหน้า (2024) Par Value คืออะไร พัฒนาการของตลาด ESG Bonds ของไทยเปรียบเทียบกับยุโรป 5 ปีผ่านไป ตลาดหุ้นกู้เปลี่ยนไปขนาดไหน ถ้าผู้ออกหุ้นกู้ถูกฟ้องล้มละลาย ผู้ถือหุ้นกู้ต้องทำอย่างไร ลงทุนในหุ้นกู้ต้องรู้จักอันดับเครดิต Highlight Q2 2023 "ESG bonds ในอาเซียน+3 ข้อดี-ข้อเสีย ของการลงทุนในตราสารหนี้...มีอะไรบ้าง 5 สิ่งควรรู้ก่อนลงทุนตราสารหนี้ การออก ESG Bond ของไทย Transition bond ตราสารหนี้เปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน IC Bond ตราสารหนี้เพื่อนับเป็นเงินกองทุนของบริษัทประกันภัย สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับเส้นอัตราผลตอบแทน (Yield curve) Basis Points คืออะไร - ต่างจากเปอร์เซ็นต์อย่างไร? ลงทุนตราสารหนี้ต้องจ่ายภาษีไหม อยากรู้ว่าหุ้นกู้มีการซื้อขายบ้างไหม ราคาซื้อขายเป็นยังไง จะดูได้ที่ไหน 2022 เช็กราคาซื้อขายล่าสุด หรือราคา mark to market ของหุ้นกู้ได้ที่ไหน การซื้อขายหุ้นกู้ในตลาดรอง คำนวณราคายังไง ทำไมหุ้นกู้คราวด์ฟันดิงถึงให้ผลตอบแทนสูง ต่างจากหุ้นกู้ปกติอย่างไร สัญลักษณ์ตราสารหนี้...อ่านอย่างไรและบอกอะไรบ้าง Breakeven Inflation คืออะไร? และ บอกอะไร? BOND INFO แหล่งรวมข้อมูลตราสารหนี้ไทย ตอน รู้จักหุ้นกู้กับเมนู “Issuer Search” รู้จัก Basel III Bond หุ้นกู้เพื่อนับเป็นเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ Baht bond คืออะไร ต่างจากหุ้นกู้ปกติไหม? ทางเลือกการลงทุนในยุคเงินเฟ้อสูง...พันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อ (Inflation Linked Bond) ตราสารหนี้ผลตอบแทนติดลบกำลังจะ “สูญพันธุ์” หุ้นกู้ที่เสนอขาย HNW จะขายต่อในตลาดรองให้นักลงทุนบุคคลทั่วไปได้ไหม? Prize Bond ตราสารหนี้ลุ้นรับโชค อัพเดต! นิยามใหม่ “ผู้ลงทุนรายใหญ่ (High Net Worth)” มีผลบังคับใช้ 1 ต.ค. 2565 นี้ รัฐบาลอินเดียเตรียมออกพันธบัตรสีเขียวครั้งแรกเพื่อมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน รัฐบาลแคนาดาร่วมขบวนรักษ์โลก...ออกพันธบัตรสีเขียวครั้งแรก Blue bond...ตราสารหนี้สีฟ้า..รักษ์ทะเล ESG bonds ของไทยใช้เงินหลากหลายและน่าสนใจแค่ไหน? Highlight 2021 "ESG bonds ในอาเซียน+3" 2021 ADB ออก Blue Bond ครั้งแรก...มุ่งสู่สังคมและเศรษฐกิจสีฟ้าอย่างยั่งยืน สรุปภาวะตลาด ESG bond ในอาเซียน+3 Carbon Neutral Bond ตราสารหนี้สีเขียวประเภทใหม่ของจีน แนวโน้มการออก ESG bond ของไทย...กับการก้าวสู่เศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืน Perpetual Bond กับลักษณะเฉพาะที่ผู้ออกต้องจ่ายดอกเบี้ยสูง โคลอมเบียออก green bond ขายนักลงทุนในประเทศเป็นครั้งแรก สเปนเตรียมออก Green bond เป็นครั้งแรก Sustainability-Linked Bond รุ่นแรกของไทยมาแล้ว ลงทุนในหุ้นกู้ต้องดูเงื่อนไข Covenant Big Tech พาเหรดออก ESG bond ส่องหุ้นกู้ออกใหม่ครึ่งปีหลัง 2021 FACTS ตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืนใน ASEAN+3 5 อันดับรัฐวิสาหกิจที่ออกตราสารหนี้สูงสุด (โดยคลังไม่ต้องค้ำ) รัฐบาลแคนาดา เตรียมเสนอขายพันธบัตรสีเขียวเป็นครั้งแรก รู้ไหม ใครถือพันธบัตรรัฐบาลไทยบ้าง ความแตกต่างของ Green, Social และ Sustainability bond รู้จักศัพท์ Bond ที่เกี่ยวกับสัตว์ ยอดการออก ESG bond ในเอเชีย-แปซิฟิก 5 เดือนแรกปีนี้ โตขึ้น 49.5% Amazon.com ไม่ตกขบวนรักษ์โลก ออก Sustainability bond ตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืนในมาเลเซีย ตราสารหนี้ (อนุ) รักษ์แรด ความเหมือนที่แตกต่างระหว่างอันดับเครดิตของบริษัท และอันดับเครดิตของหุ้นกู้ ปี 2564 อังกฤษนับหนึ่งพันธบัตรสีเขียว เครื่องมือรักษ์โลกล่าสุด...ตราสารหนี้ส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability-linked Bond: SLB) 2020 เมื่อสายแฟ (ชั่น) แคร์โลก...Chanel และ Burberry ออก ESG bond หุ้นกู้สีเขียวอนุพันธ์...อีกรูปแบบหนึ่งในการรักษ์โลก Covid-19 Response Bonds: ตราสารหนี้สู้โควิด Bond ETF อีกหนึ่งทางเลือกการลงทุนตราสารหนี้ มาตรฐานบัญชีใหม่ TFRS 9 กับตราสารหนี้ (ตอนที่ 2) Pandemic Bond ภารกิจสู้โรค...กับบทเรียนที่ต้องเรียนรู้ เชื้อไวรัสโควิดลามจากคนสู่เศรษฐกิจโลก? มาตรฐานบัญชีใหม่ TFRS 9 กับตราสารหนี้ (ตอนที่ 1) ตราสารหนี้เพื่อสิ่งแวดล้อมและสังคมที่ยั่งยืนในประเทศไทย Green bond ในอาเซียน เมื่อจีนเป็นหวัด ทั่วโลกเลยต้องรับยา…ทางการเงิน ย้อนรอยพันธบัตรทองคำของไทย Sovereign Gold Bond พันธบัตรทองคำแห่งชาติ Gender bonds ตราสารหนี้เพื่อเพิ่มพูนศักยภาพผู้หญิง ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ The Bodyguard ของนักลงทุน Prize Bond ตราสารหนี้สำหรับคนชอบเสี่ยงโชค 2019 สรุป 10 เหตุการณ์เด่นในตลาดตราสารหนี้ไทยปี 2562 พันธบัตรรัฐบาล Low risk but high return ในปี 2562 เหลียวหลังแลหน้า เงินลงทุนจากต่างชาติในตลาดตราสารหนี้ไทย ฉบับปี 2562 บาดาล The Series ตอนที่ 3/3: กำเนิดบาดาล บาดาล The Series ตอนที่ 2/3: ปูมหลัง บาดาล The Series ตอนที่ 1/3: ความสำเร็จก้าวแรก เขาวานให้(หนู)เป็น...สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย เตรียมช้อป หุ้นกู้ ได้ทุกเดือนในปี 2563 ผลกระทบตลาดตราสารหนี้หลังการเก็บภาษีกองทุน High yield bond จีน:จากผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุดในโลก สู่ผู้นำการออกตราสารหนี้สีเขียว Perpetual bond กับมาตรฐานบัญชีใหม่ 25 ปี ThaiBMA กับการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ไทย ตราสารหนี้ฉบับแรกของราชอาณาจักรสยามเพื่อก่อสร้างทางรถไฟสายแรกๆของประเทศ 5 ปี ภาคเอกชนระดมทุนผ่านหุ้นกู้กว่าล้านล้าน!! Perpetual bond คึกคักส่งท้ายปี 62 ทวิตเตอร์ “@realDonaldTrump” กระเทือนไปทั้งโลก…การเงิน งานนี้ต้องติดตาม...สถานการณ์ผิดนัดชำระหุ้นกู้ในประเทศจีน เมื่อเงินทุนไหลออกจากตลาดตราสารหนี้ แต่เงินบาทยังแข็งค่า รู้ยัง! Starbucks ก็ออก Sustainability Bond นะ Dual Currency Bond ตราสารหนี้สองสกุล หุ้นกู้ไม่มีเรทติ้งแต่มีประกัน ปลอดภัยจริงไหม!! Bond Yield ติดลบกินวงกว้างแค่ไหน Bond yield ไทยจะต่ำไปไหน CAT bond: ตราสารหนี้รับมือเหตุภัยพิบัติ เรทติ้ง (Rating) มาจากไหนและบอกอะไรแก่นักลงทุน มาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาทของ ธปท.และผลต่อตลาดตราสารหนี้ไทย จับตา!!! สถานการณ์การผิดนัดชำระหุ้นกู้ประเทศสิงคโปร์ เข้าใจหุ้นกู้ใน 5 นาทีกับ Fact sheet เมื่อดอกเบี้ยสหรัฐฯ เปลี่ยนทิศ แล้วดอกเบี้ยไทยจะอย่างไร? การปรับลดวงเงินประมูลพันธบัตรของธปท.และผลต่อตลาดบอนด์ ครบรอบ 22 ปี วิกฤติต้มยำกุ้ง กับการเติบโตของตลาดตราสารหนี้ไทย โอกาสของผู้ระดมทุนในตลาดหุ้นกู้ไทย Callable bonds ของไทย คุ้มค่าน่าลงทุน? Blue Bond ตราสารหนี้สีฟ้า เพื่อความยั่งยืนของทะเล 2-10 Spread สัญญาณคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจ 1 ปีแห่งการปรับตัวของผู้ออกตั๋ว BE ภาษีกองทุนรวมตราสารหนี้: นักลงทุนจะไปต่อกันทางไหน? Payment-In-Kind Bond เมื่อดอกเบี้ยจ่ายเป็นหมูแฮม ทำไมอยากซื้อ แต่ไม่ได้ซื้อ? Bond Switchingเมื่อถึงเวลาก็ต้อง(แลก)เปลี่ยน STO อีกหนึ่งทางเลือกในการระดมทุนด้วยเทคโนโลยี Blockchain Structured note ผลตอบแทนที่มาพร้อมความผันผวน Composite Bond Index ดัชนีสะท้อนผลตอบแทนการลงทุนในตราสารหนี้ไทย ลูกหนี้รายใหญ่ในตลาดตราสารหนี้ไทย ภาษีการลงทุนในตราสารหนี้ผ่านกองทุนรวม ผลกระทบต่อนักลงทุน Bond Yield ของไทยจะติดเชื้อ Inverted Yield Curve จากสหรัฐฯไหม การค้ำประกันจาก CGIF ช่วยผู้ออกลดคูปองดอกเบี้ยให้ต่ำลง ถอดบทเรียนจากญี่ปุ่นแล้วย้อนมองไทยการออมเพื่อเตรียมเกษียณ (ตอนที่ 2) ถอดบทเรียนจากญี่ปุ่นแล้วย้อนมองไทยการออมเพื่อเตรียมเกษียณ (ตอนที่ 1) Puttable Bond ตราสารหนี้ที่ให้สิทธินักลงทุนในการไถ่ถอนก่อนครบกำหนดอายุ Bond Yield สหรัฐฯกับไทย...ความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไป 10 year challenge ของตลาดตราสารหนี้ Sustainability bond หุ้นกู้เพื่อความยั่งยืนของสังคมและสิ่งแวดล้อม Social Bond พันธบัตรเพื่อสังคมที่เป็นสุข สรุป 10 เหตุการณ์สำคัญของตลาดตราสารหนี้ไทยในรอบปี 2561 D/E Ratio บอกอะไรบ้าง 2018 เตรียมช้อปหุ้นกู้ออกใหม่ปีหน้า..มีอะไรน่าสนใจ เหลียวหลังแลหน้า เงินลงทุนในตราสารหนี้ไทยของต่างชาติ ฉบับปี 2561 จับตาหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น BAHT Bond ทางเลือกการระดมทุนในอาเซียน จับตาหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ของจีน ตลาดตราสารหนี้ไทยเป็น safe haven จริงหรือ Solar Bond ตราสารหนี้พลังงานแสงอาทิตย์ ผลตอบแทนของ Green bond ต่างจากตราสารหนี้ทั่วไปหรือไม่ ตราสารหนี้สีเขียวกับการเติบโตอย่างยั่งยืน การออกหุ้นกู้ของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ Asian Bonds Online มีดีมากกว่า Fund flow ในตลาดตราสารหนี้ Perpetual bond หุ้นกู้ไม่มีอายุ ใครลงทุนในหุ้นกู้บ้าง ซื้อหุ้นกู้แบบมี Call option นักลงทุนจะได้หรือจะเสียอะไร การวัด Expected return ของตราสารหนี้ ฝากเงินไว้กับธนาคาร หรือลงทุนผ่านตราสารหนี้ดีนะ? หุ้นกู้ Securitization ทางเลือกเพื่อเพิ่มความมั่นใจในการลงทุน ILB ทางเลือกของการลงทุนในภาวะเงินเฟ้อเริ่มขยับขึ้น ซื้อกองทุนตราสารหนี้ แต่ทำไมถึงขาดทุนได้? มารู้จักTransition Matrix โอกาสการผิดนัดชำระหนี้ของหุ้นกู้ ลงทุนอย่างอุ่นใจ ด้วยหุ้นกู้มีประกัน ถ้าอยากซื้อหุ้นกู้เชิญอ่านทางนี้ วางแผนเกษียณสุขใจไปกับตราสารหนี้ การเปลี่ยนแปลงของตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนจากเกณฑ์ใหม่ กลต. ระหว่างสลากออมสิน กับตราสารหนี้ออมอย่างไรให้เหมาะกับเรา รู้จักกับ AMRO องค์กรความร่วมมือเพื่อความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของอาเซียน+3 ความจริง 5 ข้อของตลาดตราสารหนี้ที่นักลงทุนควรทราบ สัญลักษณ์ตราสารหนี้บอกอะไรมากกว่าที่คิด Credit rating ไม่สูงก็ออกตราสารหนี้ Coupon ต่ำได้ ด้วยการค้ำประกันจาก CGIF Bond Yield สหรัฐฯ สูงขึ้น ดึง Bond Yield ไทยสูงขึ้น ด้วยไหม? Basel III Bond ตราสารหนี้ที่เพิ่มความมั่นคงให้แก่ธนาคาร ติดตามราคาพันธบัตรรัฐบาล ณ วันปัจจุบันได้จากที่ไหนนะ? ดัชนีพันธบัตรรัฐบาล ดัชนีพันธบัตรรัฐบาลประเภทอัตราดอกเบี้ยแปรผันตามการเปลี่ยนแปลงของเงินเฟ้อ สูงหรือต่ำมีความหมายมากกว่าที่คาด แนวโน้มของเทคโนโลยี Blockchain ในตลาดตราสารหนี้ จะสูงหรือต่ำสำคัญอย่างไร Credit spread ผู้ช่วยของ Yield curve ทิศทางของตลาดตราสารหนี้ไทย Yield Curve พระเอกของการลงทุนในตราสารหนี้ Fund flow ในตลาดตราสารหนี้ จับตาการลงทุนของต่างชาติในตลาดบอนด์ Perpetual Bond พิเศษยังไง ทำไมจ่ายดอกเบี้ยสูงจัง ตราสารหนี้บางรุ่นเลื่อนชำระดอกเบี้ยได้นะจ๊ะ มูลค่าการซื้อขายตราสารหนี้ หาได้จากไหน? 2017 ปลายปีอย่างนี้ เป็นจังหวะดีของการลงทุนในตราสารหนี้ไหมนะ ความเข้าใจผิดที่อันตราย “ตราสารหนี้เสี่ยงกว่าหุ้น” Financial Literacy ของไทย อันดับเครดิตต่ำหรือสูง แล้วยังไง มีเงิน 5,000 บาท ลงทุนหุ้นกู้ได้ไหมนะ? หุ้นกู้แปลงสภาพ เจ้าหนี้ที่กลายร่างเป็นเจ้าของได้ (ตอนที่ 2) สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA)คือใคร ทำอะไรกัน? อะไรคือหุ้นกู้แปลงสภาพ (Convertible Bond) (ตอนที่ 1) เลือกตราสารหนี้ให้เหมือนเลือกแฟน “สั้น” หรือ “ยาว” อะไรเร้าใจกว่ากัน (ตอนที่ 2) แม้ดอกเบี้ยจะขาขึ้น ก็ไม่หวั่นลงทุนตราสารหนี้ “สั้น” หรือ “ยาว” อะไรเร้าใจกว่ากัน (ตอนที่ 1) Cross Default ในตราสารหนี้ "หุ้นกู้มีประกัน" เครื่องหมายรับประกันเงินต้นหาย? รู้หรือไม่ พันธบัตรไทยฉบับแรกออกมาเมื่อใด เม็ดเงินต่างชาติในตราสารหนี้ทำบาทแข็งจริงหรือ? กองทุน AI ความเสี่ยงหลัก 5 ข้อในการลงทุนตราสารหนี้ หุ้นกู้ High Yield ลงทุนอย่างไรให้ปลอดภัย แฝดคนละฝา Default กับ NPL 5 เหตุผลหลักของการลงทุนในตราสารหนี้ 20 ปี วิกฤตต้มยำกุ้ง พลิกสู่การเติบโตของตลาดตราสารหนี้ไทย จะซื้อหุ้นกู้ ต้องดู Credit Spread ( ตอนที่ 2) Callable คุณลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งของ Bond จะซื้อหุ้นกู้ ต้องดู Credit Spread ( ตอนที่ 1) ตราสารหนี้ฉบับแรกเกิดขึ้นเมื่อไร? Yield Curve ตัวช่วยการลงทุนตราสารหนี้ เมื่ออัตราดอกเบี้ยผันเปลี่ยน มูลค่าของตราสารหนี้ก็ผันแปร Coupon&Yield คู่ซี้ที่แตกต่าง หุ้นกู้ vs. หุ้น สนใจลงทุนตราสารหนี้ ต้องทำอย่างไร ลำดับการชำระหนี้คืน อันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) Ultra High Net Worth กลุ่มนักลงทุนใหม่ ขาใหญ่ในตลาดตราสารหนี้ไทย ตราสารหนี้สีเขียว (Green Bond) สิทธิแฝงของตราสารหนี้ (Embedded Option) ตราสารหนี้ที่ออกโดยหน่วยงานเอกชน ตราสารหนี้ที่ออกโดยองค์กรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ ตราสารหนี้ที่ออกโดยกระทรวงการคลัง พันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อ (ILB) ตอนนี้น่าลงทุนไหม? Intro to Bond 2016 พันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อ....เงินต้นไม่หาย แถมงอกเงยไม่น้อยหน้าเงินเฟ้อ ความอ่อนไหวของเงินทุนจากต่างชาติในตลาดตราสารหนี้ไทย ทำความรู้จักกับหลักเกณฑ์ Basel III และผลกระทบต่อตลาดตราสารหนี้ ตลาดตราสารหนี้ไทยเติบโตรับกระแสเงินทุนไหลเข้าในครึ่งปีแรก 2559 การลงทุนตราสารหนี้ แม้จะปลอดภัย ถ้าไม่เข้าใจ...ก็ขาดทุนได้ การลงทุนในกองทุนตราสารหนี้...ทางเลือกการลงทุนที่ปลอดภัย (ความผันผวนต่ำ) หุ้นกู้ด้อยสิทธิ รู้จักกับ Perpetual Bond 2015 ตราสารหนี้ระยะยาวภาคเอกชน ตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะสั้น (Commercial Paper) Infrastructure Fund vs. Infrastructure Bond เงินทุนต่างชาติไหลกลับสู่ตลาดตราสารหนี้ไทย นิยาม “ตราสารหนี้” แบบเข้าใจง่าย "หุ้น" กับ "หุ้นกู้" แฝดคนละฝา ตราสารหนี้ภาคเอกชนไทยเติบโตอย่างมั่นคง (1) ตราสารหนี้ภาคเอกชนไทยเติบโตอย่างมั่นคง (2) คลังบทความ
Posted by:ThaiBMA Posted on: Aug 04 2016 Share this post with ทำความรู้จักกับหลักเกณฑ์ Basel III และผลกระทบต่อตลาดตราสารหนี้ ที่มาของหลักเกณฑ์ Basel การเกิดวิกฤตการเงินโลกที่ผ่านมาโดยเฉพาะ Hamburger crisis หรือ Subprime crisis ราวปี 2008 ที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาและมีผลกระทบเป็นวงกว้างไปยังภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลก ทำให้หน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินเพิ่มความเข้มงวดในการกำกับดูแลสถาบันการเงินมากขึ้น ซึ่งเป็นที่มาของการพัฒนาหลักเกณฑ์สากลในการกำกับดูแลระบบการเงิน เพื่อสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงในระบบการเงินและสถาบันการเงิน ป้องกันมิให้เกิดวิกฤตการเงินซ้ำรอยขึ้นอีก หลักเกณฑ์สากลซึ่งเป็นที่ยอมรับในการกำกับดูแลสถาบันการเงิน เรียกว่า หลักเกณฑ์ Basel ซึ่งธนาคารกลางของแต่ละประเทศจะทยอยนำหลักเกณฑ์นี้มาบังคับใช้ในประเทศของตน เพื่อสร้างเสริมความมั่นคงของระบบการเงิน ทำให้สถาบันการเงินมีระบบการบริหารความเสี่ยงที่มีมาตรฐาน และเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้สถาบันการเงินสามารถรองรับความผันผวนในยามเกิดวิกฤติได้ จาก Basel I สู่ Basel II ในช่วงแรกของการพัฒนา เริ่มจากหลักเกณฑ์ Basel I ที่เน้นไปที่การดำรงเงินกองทุนของธนาคาร เพื่อให้ธนาคารสามารถรองรับการขาดทุนจากการปล่อยสินเชื่อ และความผันผวนจากการลงทุนของธนาคารได้ โดยกำหนดให้ธนาคารดำรงเงินกองทุนเป็นสัดส่วนต่อสินทรัพย์เสี่ยง ยิ่งธนาคารมีสินทรัพย์เสี่ยงมากก็ต้องดำรงเงินกองทุนมากขึ้นตามทั้งนี้ การคำนวณสินทรัพย์เสี่ยงจะประเมินความเสี่ยงทั้ง “ด้านเครดิต” ที่เป็นความเสี่ยงจากการไม่ได้รับเงินคืนจากการปล่อยสินเชื่อ อันเป็นความเสี่ยงหลักในการปล่อยสินเชื่อ และความเสี่ยง “ด้านตลาด” ซึ่งเกิดจากความผันผวนของราคาสินทรัพย์ อันเป็นความเสี่ยงหลักของการลงทุน หลักเกณฑ์ Basel I กำหนดให้ธนาคารต้องดำรงเงินกองทุนให้เพียงพอต่อการรองรับความเสี่ยงดังกล่าว ต่อมา คณะกรรมการ Basel เห็นว่ายังมีความเสี่ยงด้านอื่นๆ ที่สำคัญที่มีผลกระทบต่อธุรกิจของสถาบันการเงิน เช่น ความเสี่ยงในการทุจริต การโกง การเกิดเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งสามารถสร้างความเสียหายที่รุนแรงต่อธุรกิจของธนาคาร ความเสี่ยงกลุ่มนี้จัดเป็นความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ ดังนั้น จึงกำหนดหลักเกณฑ์เพิ่มเติมให้สถาบันการเงินต้องคำนวณสินทรัพย์เสี่ยงด้านปฏิบัติการด้วย ทำให้มีการปรับปรุงหลักเกณฑ์จาก Basel I เป็น Basel II โดยกำหนดให้สถาบันการเงินต้องดำรงเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงทั้งด้านเครดิต ด้านตลาด และ ด้านปฏิบัติการ นอกจากนี้ Basel II ยังกำหนดให้ธนาคารต้องมีความโปร่งใส โดยให้มีการเปิดเผยข้อมูลการบริหารความเสี่ยงและเงินกองทุนแก่สาธารณชนนอกเหนือจากการรายงานความเสี่ยงและการดำรงเงินกองทุนแก่หน่วยงานกำกับดูแล วิกฤต Subprime นำไปสู่การพัฒนา Basel III แม้ว่าธนาคารต่างๆ จะสามารถปฏิบัติตามแนวทางที่กำหนดภายใต้หลักเกณฑ์ Basel I และ Basel II ได้เป็นอย่างดี แต่การเกิดวิกฤติ Subprime ในช่วงปี 2008 ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาคการเงินทั่วโลก ทำให้หน่วยงานกำกับดูแลตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงแนวทางกำกับดูแลสถาบันการเงินเพิ่มเติม อันเป็นที่มาของการพัฒนา Basel III สืบเนื่องจากวิกฤต Subprime ในอเมริกามีสาเหตุสำคัญจากปัญหาการขาดสภาพคล่องของสถาบันการเงิน หลักเกณฑ์ Basel III จึงเพิ่มข้อกำหนดเรื่องการบริหารความเสี่ยงด้านสภาพคล่องของสถาบันการเงิน รวมถึง ปรับปรุงเงื่อนไขการดำรงเงินกองทุนให้สูงขึ้น เพื่อให้สามารถรองรับการขาดทุนได้เพิ่มขึ้น ประเด็นหลักที่มีการปรับปรุงใน Basel III 1. การปรับปรุงการดำรงเงินกองทุนทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ การที่ธนาคารมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงมากย่อมแสดงถึงความมั่นคงมาก หลักเกณฑ์ Basel III แบ่งเงินกองทุนเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1) เงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของ ที่สามารถรับการขาดทุนได้ เช่น ทุนชำระแล้ว และกำไรสะสม เป็นต้น 2) เงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นตราสารทางการเงิน คือเงินที่ได้จากตราสารทางการเงินที่มีลักษณะคล้ายทุน เช่น ตราสารหนี้ที่ไม่มีระยะเวลากำหนดคืนเงินต้น ไม่สะสมเงินปันผล และ สามารถรองรับผลขาดทุนได้ และ 3) เงินกองทุนชั้นที่ 2 คือเงินจากการออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่สามารถแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญหรือตัดเป็นหนี้สูญได้หากธนาคารอยู่ในสถานะที่ต้องได้รับการช่วยเหลือทางการเงินจากธนาคารแห่งประเทศไทย (รับการขาดทุนก่อนผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้อื่นๆ แต่หลังจากเงินกองทุนชั้นที่ 1) จากที่กล่าวมานี้ จะเห็นว่าเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของ จะเป็นส่วนที่รับการขาดทุนเป็นส่วนแรก หลักเกณฑ์ Basel III เรื่องเงินกองทุนขั้นต่ำ จึงกำหนดให้เพิ่มอัตราส่วนขั้นต่ำของเงินกองทุนส่วนนี้ต่อสินทรัพย์เสี่ยง ซึ่งเป็นการเพิ่มทั้งปริมาณและคุณภาพของเงินกองทุนขั้นต่ำ ทำให้ธนาคารมีความมั่นคงสูงขึ้น นอกจากนี้ Basel III เรื่องหลักเกณฑ์การดำรงเงินกองทุนส่วนเพิ่ม เป็นหลักเกณฑ์ที่เพิ่มขึ้นใหม่ใน Basel III กำหนดให้มีส่วนของ “Buffer” ขึ้น นั่นคือ ให้สถาบันการเงินดำรงเงินกองทุนเพิ่มเติมในยามฉุกเฉินหรือในยามที่เศรษฐกิจไม่ดี ซึ่งความแตกต่างของ Buffer กับเงินกองทุนขั้นต่ำคือ หากธนาคารมีเงินกองทุนต่ำกว่าเงินกองทุนขั้นต่ำ ธปท. มีอำนาจในการดำเนินการตามสมควรได้โดยตรง ในขณะที่หากธนาคารดำรง Buffer ไม่พอ ธนาคารจะถูกบังคับให้จัดสรรกำไรเพื่อมาถือเป็นเงินกองทุนเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนที่กำหนด ซึ่งจะส่งผลต่อเงินปันผล และโบนัสของพนักงาน แต่ไม่มีผลต่อการบริหารหรือการดำเนินธุรกิจของธนาคาร โดย Basel III ได้กำหนด Buffer ไว้ 2 ประเภท คือ ส่วนที่ต้องดำรงไว้เสมอ (Capital conservation buffer) และส่วนที่เปลี่ยนแปลงได้ขึ้นกับสภาวะเศรษฐกิจ (Countercyclical buffer) ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนด 2. การเพิ่มเกณฑ์ Leverage ratio เกณฑ์นี้กำหนดให้ อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ต่อ สินทรัพย์และรายการนอกงบดุลทั้งสิ้นอย่างน้อยร้อยละ 3 (จะเริ่มกำหนดใช้ปี 2562) ซึ่งเป็นการจำกัดปริมาณธุรกรรมของธนาคาร ทั้งการลงทุน การปล่อยสินเชื่อ การรับประกัน รวมถึงการเปิดวงเงิน และการทำธุรกรรมอนุพันธ์ ทำให้ธนาคารต้องคำนึงถึงรายได้ต่อปริมาณธุรกรรมที่มีอยู่ โดยอัตราส่วนนี้ไม่ได้คำนึงถึงระดับความเสี่ยงของธุรกรรม (Non-risked based) ดังนั้นแม้จะเป็นธุรกรรมที่มีความเสี่ยงต่ำ ธนาคารก็สามารถทำได้ในปริมาณที่จำกัด (ที่ร้อยละ 3) แต่หากมีความเสี่ยงสูง ธนาคารก็จะถูกจำกัดโดยอัตราส่วนเงินกองทุน ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว 3. การเพิ่มเกณฑ์การบริหารความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง Basel III เพิ่มความสำคัญของการบริหารความเสี่ยงด้านสภาพคล่องของสถาบันการเงิน เนื่องจากตระหนักว่าธนาคารที่แม้จะมีเงินกองทุนอยู่ในระดับสูง ก็อาจประสบภาวะวิกฤติหรือล้มละลายได้หากขาดสภาพคล่อง ความเสี่ยงด้านสภาพคล่องตามหลักเกณฑ์ Basel III จะมองใน 2 มุม มุมแรกคือ ในกรณีเกิดวิกฤตหรือความผันผวนระยะสั้นและเกิดการถอนเงินมากผิดปกติ ในกรณีนี้ธนาคารจะต้องมีสินทรัพย์สภาพคล่อง (เงินสดหรือ สินทรัพย์ที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้อย่างรวดเร็ว) เพียงพอที่จะดำเนินงานได้ 30 วันในภาวะดังกล่าว ซึ่งเป็นเกณฑ์ Basel III เรื่อง Liquidity Coverage Ratio (LCR) โดยธปท. กำหนดให้ธนาคารเริ่มที่ 60% ในปี 2559 และทยอยเพิ่มขึ้นปีละ 10% จนครบ 100% ในปี 2563 และมุมที่สอง คือ มองในด้านความสอดคล้องกันระหว่างแหล่งที่มาของเงินทุนกับลักษณะความต้องการใช้เงินของธนาคาร เพื่อลดปัญหาสภาพคล่องจากการระดมเงินทุนระยะสั้นและนำไปใช้ปล่อยกู้ระยะยาว ซึ่งเป็นเกณฑ์ Basel III เรื่อง Net Stable Funding Ratio (NSFR) ทั้งนี้ธปท. คาดว่าจะกำหนดใช้ปี 2562 ผลกระทบจากการปรับปรุงเกณฑ์ Basel III ผลต่อธนาคาร การทำให้ธนาคารมีความมั่นคงมากขึ้น ก็ต้องแลกมาด้วยต้นทุนที่สูงขึ้น หลักเกณฑ์ Basel III เรื่องเงินกองทุนขั้นต่ำ ที่กำหนดให้ธนาคารต้องดำรงเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงสูงขึ้น และ เกณฑ์ Basel III เรื่องการดำรงเงินกองทุนส่วนเพิ่ม ที่กำหนดให้ธนาคารต้องเพิ่มส่วนของ Buffer ขึ้นมา ส่งผลให้ธนาคารต้องดำรงเงินกองทุนสูงขึ้น ต้นทุนทางการเงินของธนาคารย่อมสูงขึ้นเช่นกัน และถ้าหากธนาคารมีการปล่อยสินเชื่อที่มีความเสี่ยงสูง ธนาคารก็ต้องยิ่งเพิ่มเงินกองทุนสูงมากยิ่งขึ้น หลักเกณฑ์ Basel III เรื่อง Leverage ratio ที่กำหนดอัตราส่วนระหว่างเงินกองทุนชั้นที่ 1 ต่อสินทรัพย์และรายการนอกงบดุลไว้ที่อย่างน้อย 3% มีผลในการจำกัดปริมาณธุรกรรมของธนาคารในการนำเงินฝากมาทำให้เกิดดอกออกผล นั่นคือธนาคารถูกจำกัดความสามารถในการหารายได้จากเงินฝาก เกณฑ์ Basel III เรื่อง Liquidity Coverage Ratio (LCR) ที่กำหนดให้ธนาคารต้องดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องให้เพียงพอที่จะดำเนินงานได้ 30 วัน สินทรัพย์สภาพคล่องที่เข้าเกณฑ์ Basel III คือเงินสดและตราสารหนี้ แต่เนื่องจากการถือเงินสดจะไม่มีผลตอบแทน ดังนั้นธนาคารน่าจะหันมาถือพันธบัตรภาครัฐมากขึ้น สำหรับเกณฑ์ Basel III เรื่อง Net Stable Funding Ratio (NSFR) ที่กำหนดให้ธนาคารต้องบริหารแหล่งที่มาของเงินทุนและความต้องการใช้เงินให้มีช่วงระยะเวลาที่สอดคล้องกัน ซึ่งธนาคารจะนำเงินที่ระดมมาได้ส่วนใหญ่ไปลงทุนหรือปล่อยสินเชื่อในระยะยาว ดังนั้นจากเกณฑ์ข้อนี้ ธนาคารจึงมีแนวโน้มที่จะต้องการเงินฝากระยะยาว (มากกว่า 1 ปี) มากขึ้น ความต้องการระดมเงินในระยะสั้น เช่น เงินฝากออมทรัพย์ จะน้อยลง ส่วนต่างดอกเบี้ยเงินฝากประจำระยะยาวกับดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์จึงคาดว่าจะสูงขึ้น จากหลักเกณฑ์ Basel III ที่กล่าวมานี้ ผลกระทบที่จะเกิดต่อธนาคาร สรุปได้คือ 1. ธนาคารจะมีต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น 2. ธนาคารมีแรงจูงใจลดลงในการปล่อยสินเชื่อที่มีความเสี่ยงสูง หรือก็ต้องเพิ่มดอกเบี้ยเงินกู้ให้สูงขึ้นเพื่อชดเชยกับการที่ธนาคารต้องดำรงเงินกองทุนเพิ่มขึ้น 3. ธนาคารมีแรงจูงใจลดลงในการรับเงินฝาก โดยเฉพาะเงินฝากระยะสั้น เช่น เงินฝากออมทรัพย์ 4. ธนาคารมีแนวโน้มที่จะถือตราสารหนี้ภาครัฐ (ที่ให้ผลตอบแทน และมีสภาพคล่องสูง) มากขึ้น ในขณะที่แรงจูงใจในการลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนต่ำลง โดยเฉพาะที่มีอันดับเครดิตต่ำ 5. ธนาคารมีแนวโน้มที่จะลดอัตราการจ่ายเงินปันผลเพื่อรักษาระดับเงินกองทุนให้อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด 6. ธนาคารมีแนวโน้มที่จะหารายได้จากการให้บริการอื่นๆ ที่มิได้สืบเนื่องจากเงินฝาก เช่น รายได้ค่าบริการ ค่านายหน้า ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่ธนาคารไม่ต้องดำรงเงินกองทุนเพื่อรองรับความเสี่ยงเป็นเวลานานเหมือนการให้สินเชื่อ 7. ธนาคารมีแนวโน้มที่จะเพิ่มทุนหรือออกตราสารทางการเงินที่สามารถนับเป็นเงินกองทุนขั้นที่ 1 หรือขั้นที่ 2 เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม สำหรับธนาคารในประเทศไทย ส่วนใหญ่มีระดับเงินกองทุนค่อนข้างสูงอยู่แล้ว จึงอาจยังไม่มีความจำเป็นในระยะเวลาอันใกล้นี้ ผลต่อลูกค้าธนาคาร 1. ลูกค้าธนาคารที่เป็นผู้ฝากเงิน ดอกเบี้ยเงินฝากจะไม่อยู่ในระดับที่สูงเหมือนเดิมในสถานการณ์ทางเศรษฐกิจคล้ายๆ กัน โดยเฉพาะดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ เนื่องจากธนาคารมีต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น นอกจากนี้ธนาคารถูกจำกัดปริมาณธุรกรรมในการหารายได้จากเงินฝาก และต้องบริหารแหล่งเงินทุนให้มีช่วงเวลาที่เหมาะสมกับแหล่งการลงทุนของธนาคารที่ส่วนใหญ่มักเป็นระยะยาว (มากกว่า 1 ปี) 2. ลูกค้าธนาคารที่เป็นภาคธุรกิจ จะได้รับอนุมัติสินเชื่อยากขึ้น และด้วยต้นทุนหรือดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูงขึ้นโดยเฉพาะบริษัทที่อันดับเครดิตไม่สูงนักหรือไม่มี Rating เช่น SMEs หรือ Startup ต่างๆ และหากภาวะเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไปในทางลบ ธนาคารก็จะมีแนวโน้มที่จะดึงสินเชื่อกลับจากกลุ่มธุรกิจเหล่านี้ก่อนเพื่อลดภาระการดำรงเงินกองทุน ผลต่อตลาดตราสารหนี้ 1. การที่ธนาคารเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ ภาคธุรกิจจึงมีแนวโน้มที่จะหันมาระดมทุนโดยการออกตราสารหนี้มากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นทางเลือกในการระดมทุนที่มีโอกาสได้ต้นทุนต่ำกว่าสินเชื่อธนาคาร 2. อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่มีแนวโน้มลดลงจะทำให้ผู้ฝากเงินหันมาลงทุนในตราสารหนี้มากขึ้น เพื่อแสวงหาผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากธนาคาร 3. ธนาคารจะมีความต้องการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีคุณภาพมากขึ้น โดยเฉพาะตราสารหนี้ภาครัฐที่มีความมั่นคงและมีสภาพคล่อง ที่สามารถแปลงสภาพเป็นเงินสดได้ทันที 4. การออกตราสารทางการเงินในรูปของ Basel III Bond หรือ CoCo Bond จากธนาคารน่าจะเพิ่มมากขึ้น เพราะสามารถใช้นับเป็นเงินกองทุนขั้นที่ 1 หรือขั้นที่ 2 ของธนาคารได้ ทั้งนี้ตราสารดังกล่าวจะมีเงื่อนไขที่สำคัญคือ ผู้ออกตราสารสามารถแปลงสภาพตราสารหนี้ประเภทนี้เป็นตราสารทุนได้หากผู้ออกมีผลการดำเนินงานที่ไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ หรือผู้ออกตราสารสามารถตัดเป็นหนี้สูญ (ทั้งจำนวนหรือบางส่วน) เมื่อทางการตัดสินใจเข้าช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ออกตราสาร กล่าวโดยสรุป การนำหลักเกณฑ์ Basel III มาบังคับใช้มีจุดประสงค์เพื่อให้ระบบการเงินของประเทศมีความแข็งแกร่งและมั่นคงมากขึ้น เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันการเกิดวิกฤตการเงินในภาคการเงินซ้ำอีก อย่างไรก็ตาม การเพิ่มความเข้มงวดในการกำกับดูแลภาคการเงินก็มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจึงจำเป็นที่แต่ละฝ่ายต้องศึกษาทำความเข้าใจ เพราะการสร้างความแข็งแกร่งต่อระบบการเงิน จะทำให้เกิดความเชื่อมั่นของนักลงทุนและเกิดผลดีต่อเศรษฐกิจในระยะยาวของประเทศ